สมเด็จพระเจ้าตากสิน หลังจากที่ได้กอบกู้เอกราชของชาติไทยคืนมาก็ทรงปกครองบ้านเมืองคล้ายคลึงกับพระราโชบายของพ่อขุนรามคำแหง คือ แบบพ่อปกครองลูก พระเจ้าตากสินทรงเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ไม่ถือตัว ชอบปรากฎพระวรกายให้ประชาราษฎรเห็น และชอบถามสารทุกข์สุขดิบของประชาชนทั่วไป ทรงหาวิธีให้ไพร่บ้านพลเมืองได้ทำมาหากินโดยปกติสุข ใครดีก็ยกย่องสรรเสริญ ผู้ใดทำไม่พอพระทัย ก็ดุด่าว่ากล่าวดังพ่อสอนลูก อาจารย์สอนศิษย์ ซึ่งสมกับโคลงยอพระเกียรติของนายสวนมหาดเล็กที่ว่า
พระเดียวบุญลาภเลี้ยง | ประชากร |
เป็นบิตุรมาดร | ทั่วหล้า |
เป็นเจ้าและครูสอน | สั่งโลก |
เป็นสุขทุขถ้วนหน้า | นิกรทั้งชายหญิง |
ในสมัยของพระองค์นอกจากเกณฑ์ผู้คนเข้ากองทัพไปราชการสงครามแล้ว ความเดือดร้อนอื่นๆ หามีไม่เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมยิ่งมีพระเมตตาจิตต่อพศกนิกรของพระองค์อย่างทั่วหน้า และ มีพระศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ศาสนาลัทธิอื่นเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในไทย คือ บาทหลวงฝรั่งเศส แต่ครั้นได้รับสิทธิให้ทำการเผยแพร่ศาสนาของตนแล้ว กลับยุยงให้คนไทยที่เข้ารีดให้ขัดขืนต่อราชการหลายหนเป็นการนำผลร้ายให้แก่ไทย จึงขอทรงให้บาทหลวงคณะนั้นออกไปพ้นพระราชอาณาเขต และทรงห้ามคนไทยมิให้ถือศาสนานั้นอีกเป็นอันขาดในยามรบทัพจับศึก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเหี้ยมหาญ อดทน สมเป็นชายชาตรีชาตินักรบฝีมือเยี่ยมจะเห็นได้ว่าในราชการสงครามแต่ละครั้งในสมรภูมิ นายทัพนายกองตลอดจนไพร่พลมักถูกลงโทษด้วยทำการไม่ได้ดังพระทัยเสมอ เช่น เมื่อคราวเรียกกองทัพกลับแล้วให้เลยไปราชบุรี มีนายทัพคนหนึ่งขัดรับสั่งแวะบ้านเสียก่อน ถึงหัวขาด นี่แสดงถึงความพิโรธของพระองค์ แต่เมื่อถึงคราวเสียสละพระองค์ก็ยอมตัดสินพระทัยไม่อยู่ดูอาการสมเด็จพระชนนีทรงพระประชวรพระอาการน่าวิตก ทั้งๆ ที่ " เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้ " แต่ทรงเป็นห่วงราชการสงครามมากกว่าพระราชชนนี ทรงห่วงใยว่า " ถ้ามิได้เสด็จไปบัญชาการ ก็คงจะเอาชนะพม่ามิได้ " ในคราวรบพม่าที่บางแก้ว จังหวัดราชบุรี เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. 2317 แล้วทรงปรารภด้วยความน้อยพระทัยว่า " ใช้พวกลูกๆ ไปทำสงครามครั้งใด ถ้าพ่อไม่เข้ากองทัพไปด้วย ไม่เห็นรบชนะศึกสักราย "
ข้อนี้เป็นความจริง สมเด็จพระเจ้าตากสินได้ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปทำสงครามตามลำพัง หลังจากเป็นแม่ทัพไปรบกับพม่าคราวอะแซหวุ่นกี้หัวเมืองฝ่ายเหนือ เมื่อปีมะแม พ.ศ. 2318 และสองท่านนี้เท่านั้น เป็นพระกรขวาซ้ายในราชการสงครามทุกครั้ง และทรงเป็นทหารเอกยอดนักรบคู่พระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทิศเหนือ ได้ดินแดนเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์
ทิศตะวันออก ได้ดินแดนลาวและเขมร ทางฝั่งแม่น้ำโขงจดอาณาเขตญวน
ทิศใต้ ได้ดินแดนเมืองกะลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี
ทิศตะวันตก จดดินแดนเมืองเมาะตะมะ ทวาย มะริด และตะนาวศรี
เจ้าตาก สมภพเมื่อปีขาล พ.ศ. 2277 เวลาเมื่อเข้ามากู้กรุงศรีอยุธยา อายุย่างเข้า 34 ปี พระเจ้าตากสินมีชื่อเสียงปรากฎว่ามีฝีมือรบพุ่งเข้มแข้ง แม้พวกพม่าข้าศึก ก็ยกย่องว่าเป็นนายทหารสำคัญคนหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พาทหารกล้าตายห้าร้อยคนออกจากค่ายวัดพิชัย หนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แล้วและได้ปะทะกับพม่ากลางทุ่งนา คราวนั้นก็รบเอาชัยเป็นฤกษ์เสียแล้ว ต่อไปก็รบชนะเรื่อยมา แม้เมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มีกำลังทหารมาก ก็สามารถรบชนะเข้าไปกินข้าวเช้ากันในเมืองได้ ครั้นยกกองทัพเรือขึ้นมากอบกู้อิสระเสรี ก็มีชัยชนะตั้งแต่เมืองธนบุรี ที่กรุงศรีอยุธยา มีคราวเดียวกับที่รบกับอะแซหวุ่นกี้ และนับเป็นราชการสงครามที่พระองค์ทรงเป็นจอมทัพ ไม่ถึงแก่แพ้ชนะแก่กัน พม่าถอยทัพกลับไปเองเสียก่อนแต่กระนั้นก็ขับไล่พม่าที่ตกค้างแตกพ่ายเสียหายอย่างยับเยิน
ผลงานที่สร้างชื่อของพระเจ้าตากสิน